วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552
วิธีการสมัคร blogger.com
สวัสดีครับเพื่อนๆ บทความนี้ก็เริ่มเข้าสู่การหน้าแรกของการสมัครเป็นสมาชิก Blogger.com นะครับหน้าแรกที่จะต้องสมัครสมาชิก ก็เป็นอย่างที่เห็นข้างบนนี่แหล่ะครับ พร้อมคำอธิบายการสมัครง่ายๆ 3 ขั้นตอน โดยเราสามารถใช้ "อีเมล์" และ "รหัส" ของการเข้าใช้อีเมล์ของ Gmail ได้เลย
ผมขยายส่วนที่จะสมัครให้ดูใกล้ๆ มีข้อสังเกตุด้านบนขวาสุดนะครับ จะเห็นช่องให้เลือกภาษา ยังไงก็แนะนำว่าเลือก "ภาษาไทย" ไว้ก่อน จะได้ศึกษาคำสั่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ดีใจแทนเพื่อนๆ นะครับ เพราะเมื่อก่อนตอนที่ผมศึกษาเอง ภาษาไทยยังไม่มีครับ และผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอินเตอร์เน็ตสักเท่าไหร่ ก็เลยงมโข่งอยู่ตั้งหลายเดือนดังนั้นผมจึงมีความตั้งใจว่าจะทำการอธิบายอย่างละเอียด ใครที่พอรู้ หรือรู้อยู่แล้ว และมาอ่านเจอก็ไม่ว่ากันนะครับว่า ทำไมผมถึงเขียนอธิบายซะเหมือนคนไม่รู้เรื่องอ่าน เพราะผมตั้งใจเขียนให้คนที่ไม่ค่อยมีพื้นฐานได้เขียนบล็อกได้จริงๆ ไม่ใช่เหมือนที่ผมไปอบรมมา คือก็เข้าใจว่าวิทยากร เขาเก่ง แต่สอนเหมือนคนฟังเข้าใจอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ชักยาวไปต่อดีกว่าครับ
เพื่อนๆ ก็ใส่อีเมล์ และรหัส ไปในช่องข้างบน แล้วกดเมนู "ลงชื่อเข้าใช้งาน" เลยก็จะไปสู่หน้าการสร้างบล๊อกได้เลยครับ
หน้าตาของขั้นตอน (step) ที่ 2 ก็เป็นการตั้งชื่อเว็บบล็อก และตั้งชื่อ URL หรือคล้ายโดเมนเนม ตรงนี้ผมขอแนะนำว่า การตั้งชื่อเว็บบล็อก ไม่ต้องไปซีเรียส สามารถเปลี่ยนได้ แต่ที่ซีเรียสคือ การตั้งชื่อ URL หรือ sub domain name นี่แหล่ะครับ เพราะมันแก้ไขไม่ได้ ตั้งแล้วตั้งเลย (ยกเว้นแต่จะลบบล็อกทิ้งเลย)
พอดีผมตั้งใจว่าจะเขียนบทความอีกแนว เกี่ยวกับความรู้ด้านเทคโนโลยี หรือวิทยาศาสตร์พอดี แต่คงสไตล์เดิมนะครับ คืออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ จึงตั้งชื่อว่า "a little of technology" และตั้งชื่อ sub domain name ว่า "alittleoftechnology" และได้ URL เป็น " http://alittleoftechnology.blogspot.com/ " ครับ ส่วนของเพื่อนๆ ก็ลองตั้งกันดู ถ้าให้ง่ายๆ บล็อกแรกที่ผมสร้างชื่อ preeda station ครับ มี URL คือ " http://preedastation.blogspot.com/ " งั้นเราไปที่ขั้นตอนสุดท้ายเลยครับ
หน้าเว็บเพจสุดท้าย หรือขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างบล็อก คือ การเลือก "แม่แบบ" หรือ "theme" หรือ รูปแบบ-หน้าตา ของเว็บบล็อกของเราเอง ซึ่งผมก็ขอแนะนำว่า เลือกๆ ไปก่อนเถอะครับ มันไม่ได้สำคัญอะไรครับ เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ในบทความที่เกี่ยวข้องตอนแนะนำเมนูต่างๆ จะอธิบายให้อีกทีครับ จากนั้นก็กด "ลูกศร-ดำเนินการต่อ" ได้เลยครับ
จะพบหน้าเว็บเพจ "บล็อกของคุณถูกสร้างเสร็จแล้ว" จากนั้นกดปุ่มลูกศร "เริ่มต้นการเขียนบล็อก" ได้เลยครับ เพื่อเริ่มเขียนบล็อก
เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่รู้จะเขียนอะไร ก็ให้มั่วๆ แบบผมไปก่อนนะครับ เช่นคีย์เลยเปก่อน
ผมจึงคีย์เลข 1111111111 เข้าไปที่ "ชื่อเรื่อง" "พื้นที่ให้เขียนบทความ" และใน "ป้ายกำกับ" เพื่อเป็นการทดสอบ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีบทความเตรียมไว้อยู่แล้ว ก็ใส่ได้เลยพร้อมตั้งชื่อเรื่องด้วย ส่วนป้ายกำกับควรใส่ "คำสำคัญ" ให้สอดคล้องกับบทความที่เขียน และควรจะมีคำสำคัญหลัก" อยู่ด้วย เช่นถ้าเป็นของผม ที่เขียนเรื่องอาการเจ็บป่วยที่เป็นผู้ทุพพลภาพ ( http://preedastation.blogspot.com/ ) ผมจะมีคำสำคัญหลัก ที่เขียนลงใน "ป้ายกำกับ" ว่า "ปรีดา ลิ้มนนทกุล" "ผู้ทุพพลภาพ" ผู้พิการรุนแรง" "ลิ้มนนทกุล" "preeda station" เป็นต้น ส่วนคำสำคัญที่เพิ่มเติม ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผมเขียนบทความเรื่องอะไร ถ้าเชียนเรื่อง แผลกดทับต้องดูแลอย่างไร ก็ควรใส่คำว่า "แผลกดทับ" ไปด้วย เป็นต้น
เมื่อกดเมนูสีส้มที่เขียนว่า "เผยแพร่บทความ" จะเห็นหน้าเว็บเพจนี้ก่อนครับ "เผยแพร่บทความบล็อกของคุณเสร็จสมบูรณ์" จากนั้นควรกดเมนู "ดูบล็อก" ก็จะเห็นหน้าเว็บบล็อกของเรา ซึ่งก็มีรปแบบหน้าตาที่เลือกๆ ไปก่อนหน้านี้ ที่ผมแนะนำว่าเดี๋ยวเปลี่ยนทีหลังได้ครับ ก่อนจะไปดูหน้าเว็บบล็อกที่เสร็จแล้ว ขอแนะนำอีก 2 เมนูนะครับ คือเมนู "แก้ไขบทความ" ถ้าเรากดเมนูนี้ จะไปสู่บทความที่เราพึ่งจะเขียนบทความมาก่อนหน้ารนี้ เพื่อเข้าไปแก้ไขเนื้อหาในบทความได้ครับส่วนเมนู "สร้างบทความใหม่" ถ้ากดก็จะไปที่หน้าการเขียนบทความใหม่ครับ
เมื่อกดเมนู "ดูบล็อก" ก็จะเห็นหน้าตาเว็บบล็อกของเราเอง ตามตัวอย่างข้างบน ถือว่าจบขั้นตอนการสร้างบล็อกแล้วนะครับ
แหล่งข้อมูลhttp://bloggerbuild.blogspot.com/2008/04/3.html
การสมัครอีเมล์ฟรี hotmail.com
Hotmail เป็นผู้ให้บริการอีเมล์ฟรีที่เป็นที่นิยมเหมาะสำหรับการติดต่อทั่วโลก และการสนทนาด้วยโปรแกรม MNS เริ่มแรกเลยก่อนที่นักเรียนจะสามารถรับส่งอีเมล์หรือจดหมายอิเลคทรอนิคส์ได้นั้นจำต้องมี e-mail address ก่อน การที่นักเรียนจะได้ e-mail address นี้มาได้ ก็ต้องสมัครครับ ซึ่งวิธีการสมัครฟรีอีเมล์ของ Hotmail มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. เข้าไปที่ www.hotmail.com ก่อนนะครับ หรือเข้าโดยผ่านลิงก์หน้าเว็ปของโรงเรียนสตูลวิทยาก็ได้ จะพบหน้าตาเว็บดังรูปข้างล่างนี้
2. เมื่อได้หน้าตาดังภาพข้างบนแล้ว ให้นักเรียนไปที่ปุ่ม Sing Up ซึ่งเมาส์จะเปลี่ยนเป็นรูปมือ ทำการกดปุ่ม Sing Up จะได้ผลดังหน้าถัดมา
3. ให้กรอกข้อมูลตามหัวข้อต่อไปนี้
First Name : ชื่อ
Last Name : นามสกุล
Language : ภาษา
Country /Region : ประเทศ (เลือก Thailand) รอสักครู่จนกว่ารูปโลกจะหยุดหมุนเพื่อแสดงรัฐในไทย
State: รัฐ (เลือกจังหวัดที่ต้องการ)
ZIP Code: รหัสไปรษณีย์
Time Zone : เวลา
Gender : เพศ
Mail : เพศชาย : Female เพศหญิงฺ
Birth Date : วันเกิด Month : เดือน Day : วันที่ ปีต้องใส่เป็น คริสตศักราช
Occupation : อาชีพ
E-mail Address : ชื่ออีเมล์ที่ต้องการ
Password : รหัสผ่าน ต้องใส่ตั้งแต่หกตัวเป็นอย่างต่ำห้ามเว้นช่องว่าง
Retype Password : ใส่พาสเวิร์ดตัวเดิมซ้ำอีกครั้ง
Secret Question: คำถามกันลืม ไว้สำหรับเวลาลืมพาสเวิร์ดอีเมล์
Secret Answer : คำตอบ
Service : บริการต่างๆ
4. หลังกรอกข้อมูลครบและถูกต้องแล้ว ให้เรียนคลิกปุ่ม I Agree เพื่อยอมรับ จะได้หน้าจอดังภาพ ซึ่งจะแสดงชื่ออีเมล์ของนักเรียนเป็นตัวอักษรสีแดง
5. ให้คลิกปุ่ม Continute เพื่อเข้าไปยังอีเมล์ของนักเรียน โปรแกรมจะแสดงจดหมายเข้าในกล่องจดหมาย (InBox)
หากต้องการดูจดหมายที่อยู่ในกล่องรับจดหมายให้คลิก Inbox จะได้หน้าจอดังภาพ
. คลิกที่ชื่อจดหมายเพื่ออ่านข้อความจดหมาย
7. เป็นอันเสร็จสิ้นการสมัครอีเมล์ครับ
ไม่พลาดทุกการสื่อสาร
ช่องใส่เบียร์ในตู้เย็นที่ติดตั้งกล้องถ่ายรูปเอาไว้ จะเตือนเมื่อเบียร์ในตู้หมด และสั่งซื้อโดยอัตโนมัติ ถังใส่ข้าว ก็เช่นเดียวกัน โดยจะทำการติดต่อกับร้านโปรด ของคุณให้เอง เตาอบชาร์ป ซึ่งถูกตั้งโปรแกรมให้เชื่อมโยง กับอินเทอร์เน็ตสามารถเก็บตำราทำอาหารได้หลายพันชนิด ขณะที่เครื่องซักผ้าของฮิตาชิจะติดต่อกับช่างทันที เมื่อพบว่า มีการชำรุดในตัวเครื่อง พร้อมทั้งสามารถแยกชนิดของผ้า เพื่อตั้งโปรแกรมการซักที่เหมาะสมได้เอง
ในห้องนั่งเล่น คุณสามารถเรียนภาษาใหม่ๆ ณ เวลาใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ผ่านทางจอภาพ ที่ติดตั้งเครื่องไอเอสดีเอ็น (ISDN) ซึ่งเชื่อมโยงกับโรงเรียนสอนภาษาโนวา
ส่วนห้องผู้สูงอายุ จะมีเตียงอาเมนิเทค ที่สามารถ ตรวจสภาพร่างกาย ดูแลอัตราการเต้นของหัวใจ และการหายใจได้ นอกจากนี้ เครื่องวัดอุณหภูมิอิเล็กทรอนิกส์ของโซจิรูชิ จะส่งอี-เมล์ให้แก่บุคคลตามลำดับรายชื่อที่บันทึกไว้ หากเครื่อง ไม่ได้ถูกเปิดใช้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นการเตือนล่วงหน้า กรณีที่ผู้สูงอายุในบ้านอาจล้มป่วยกะทันหัน
สารพัดประโยชน์
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ประตูจะเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อคุณ ใช้นิ้วสัมผัสเครื่องตรวจจับลายนิ้วมือ ขณะที่สุนัขหุ่นยนต์ไอโบ(Aibo) ของบริษัทโซนี่ ซึ่งติดตั้งนาฬิกาไว้ภายใน จะรอต้อนรับคุณด้วยการเต้นรำตามธรรมเนียม เมื่อเข้าไป ในห้องนั่งเล่น หุ่นยนต์ไอโบอีกตัวจะอ่านข้อความที่มีผู้ฝากไว้ในวันนั้นให้ฟัง
ส่วนจอภาพพลาสมายี่ห้อพานาโซนิคขนาด 37 นิ้ว ในห้องครัว ช่วยให้คุณสามารถควบคุมเครื่องใช้เกือบ ทุกชนิด ในบ้านได้ และจะเปลี่ยนเป็นโรงหนัง ด้วยเครื่องเล่นดีวีดีที่ติดตั้งไว้ ส่วนเฝ้าคุมจะควบคุมการ ทำงานของไฟ เครื่องปรับอากาศ รวมทั้งเปิด และปิดม่าน และฉากกั้นภายในบ้านด้วย
บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ หมายถึง โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อทำการสั่งงานให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ใช้ต้องการ เช่น ระบบโปรแกรมควบคุมเครื่อง โปรแกรมระบบบัญชี โปรแกรมสำเร็จรูป CU – WRITER โปรแกรมที่เขียนขึ้นใช้ด้วยตนเอง โปรแกรมบน WINDOWS เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ1.โปรแกรมระบบ
2.โปรแกรมประยุกต์
ในระดับนี้ ขอกล่าวถึงเพียงโปรแกรมระบบ เพียงอย่างเดียว
โปรแกรมระบบ
เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการควบคุม และสั่งงานระบบให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเรียกโปรแกรมนี้ว่า ระบบโปรแกรมควบคุมเครื่อง ระบบโปรแกรมควบคุมเครื่องนี้จะควบคุมดูแลการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ทำงานประสานกัน เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้เลยหากปราศจากระบบโปรแกรมควบคุมเครื่อง และในเครื่องคอมพิวเตอร์ละระดับก็จะมีชื่อของระบบโปรแกรมควบคุมเครื่องที่แตกต่างกันไป
ตัวอย่างการใช้ระบบโปรแกรมควบคุมเครื่อง
ระบบโปรแกรมควบคุมเครื่อง ในที่นี้จะเรียนรู้เกี่ยวกับ เอ็นเอส –ดอส(MS – DOS) เป็นระบบโปรแกรมควบคุมเครื่องที่นิยมมากในไมโครคอมพิวเตอร์ การที่จะใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องนำแผ่นดิสด์ใส่เข้าช่องไดรว์ และทำการเปิดเรื่องบูทเพื่อให้แสดง A > (อ่านว่า เอ-พร้อม) หมายความว่า ได้เข้าระบบดอสแล้ว และเป็นการเรียมพร้อมเพื่อคอยคำสั่งและแปลความหมายพร้อมที่จะทำงานทันที ดังนั้น หากเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วไม่สามารถแสดง A> ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นได้เลย เนื่องจากไม่มีระบบโปรแกรมควบคุมเครื่องเข้าไปควบคุมดูแลและจัดการระบบนั่นเอง
อุปกรณ์ที่เป็นส่วนประกอบหลักของคอมพิวเตอร์
แผงแป้นอักขระ หรือแป้นพิมพ์ เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลมาตรฐานลักษณะคล้ายแป้นพิมพ์เครื่องพิมพ์ดีดทั่วไป มีภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีกลุ่มตัวเลขอยู่ทางด้านขวามือของผู้ใช ้มีลักษณะเหมือนกับเครื่องคิดเลขทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
หน้าที่ รับข้อมูลหรือคำสั่งไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ อุปกรณ์ที่เป็นหน่วยรับข้อมูล ได้แก่ แป้นพิมพ์ เครื่องรับแผ่นบันทึก เมาส์ ฯลฯ
จอภาพของคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ในการแสดงผลที่มีมากับเครื่องคอมพิวเตอร์ จอภาพมีลักษณะคล้ายจอภาพโทรทัศน์ จอภาพมีทั้งแบบสีเดียวและแบบจอสี ซึ่งจะให้ภาพที่มีหลากสีและมีความละเอียดมากกว่าจอภาพแบบสีเดียว
3. เครื่องรับแผ่นบันทึก
เครื่องรับแผ่นบันทึก มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ติดตั้งอยู่ในตัวเครื่อง (ซี พี ยู) จะมีช่องสำหรับเสียบแผ่นดิสก์เก็ต และมีปุ่มกดสำหรับให้แผ่นดิสก์เก็ตที่บรรจุข้อมูลออกมาเมื่อเราทำงานเสร็จแล้ว
หน้าที่ อ่านหรือบันทึกข้อมูลลงแผ่นดิสก์เก็ตซึ่งมีความเร็วแตกต่างกันไป
4. ตัวเครื่อง (ซีพียู)
ตัวเครื่อง (ซี พี ยู) เป็นหน่วยที่สำคัญสำหรับคอมพิวเตอร์ เปรียบเสมือนหัวใจของเครื่องประกอบด้วยหน่วยสำคัญ 3 หน่วย คือ
หน่วยคำนวณ ทำหน้าที่เกี่ยวกับตัวเลขและเปรียบเทียบข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
หน่วยควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของส่วนต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้ถูกต้อง
หน่วยความจำ ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล และผลลัพธ์ต่าง ๆ ไว้ก่อนจะถูกนำไปทำงานของหน่วยต่าง ๆ ต่อไป
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์กับงานต่าง ๆ
1.คอมพิวเตอร์กับงานธุรกิจทั่วไป
2.คอมพิวเตอร์กับงานธนาคาร
3.คอมพิวเตอร์กับงานด้านการแพทย์
4.คอมพิวเตอร์กับงานการศึกษา
5.คอมพิวเตอร์กับงานอุตสาหกรรม
6.คอมพิวเตอร์กับงานบันเทิง
7.คอมพิวเตอร์กับงานตลาดหลักทรัพย์
8.คอมพิวเตอร์กับงานธุรกิจกิจโรงแรม
ลักษณะที่สำคัญของคอมพิวเตอร์
1.ความรวดเร็ว
2.หน่วยความจำ
3.การทำงานอัตโนนัติ
4.การเก็บรักษาข้อมูลหรือโปรแกรม
5.ความถูกต้องและความเชื่อถือได้
6.การใช้งานได้หลาย ๆ ด้าน
ความรู้เบื้องต้น
ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ หรือ “สมองกล” หมายถึง เครื่องจักรกลที่สร้างขึ้นมาให้สามารถรับข้อมูลที่มีอยู่ทั่วไปพร้อมคำสั่งแล้วดำเนินการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยความเร็วสูง ถูกต้อง แม่นยำ เช่น การบันทึกข้อมูล การคิดคำนวณตัวเลข เป็นต้น
คอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการทำงานได้เป็นอย่างดี ช่วยเก็บรักษาข้อมูลเป็นจำนวนมาก ๆ โดยไม่มีการหลงลืม และไม่มีมีความเหน็ดเหนื่อย ในอนาคตคอมพิวเตอร์สามารถคิดหรือตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยเหตุผลคล้ายมนุษย์ซึ่งจะทำให้การใช้งานง่าย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งเรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552
สัตว์ป่าสงวน
แมวลายหินอ่อน พะยูน เก้งหม้อ นกกระเรียน เลียงผา กวางผา ละองหรือละมั่ง สมัน กูปรี ควายป่า แรด กระซู่ สมเสร็จ นกแต้วแล้วท้องดำ และนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
ข้อห้ามข้อบังคับบางประการจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ที่ควรทราบมีดังนี้
สัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง เป็นสัตว์ป่าที่ห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ห้ามครอบครองสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่สัตว์ที่ครอบครองเป็นสัตว์ที่มาจากการเพาะพันธุ์ที่ไม่ถูกต้อง จะต้องโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ห้ามเพาะพันธุ์สัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่การล่าเป็นการล่าเพื่อปกป้องตนเองหรือผู้อื่นหรือทรัพย์สิน หรือเหตุอื่นที่เห็นว่าเป็นการกระทำที่ควรแก่เหตุ ไม่ต้องรับโทษ
การห้ามการครอบครองและห้ามค้า มีผลไปถึงไข่และซากของสัตว์เหล่านั้นด้วย
ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรังของสัตว์ ยกเว้นรังนกอีแอ่น (นกแอ่นกินรัง) ซึ่งต้องได้รับอนุญาตเช่นกัน
ภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง
ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน
แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อเป็นทอด ๆ และจะมีผลกระทบกับโลกในที่สุด ขณะนี้ผลกระทบดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การละลายของน้ำแข็งทั่วโลก ทั้งที่เป็นธารน้ำแข็ง (glaciers) แหล่งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก และในกรีนแลนด์ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำแข็งที่ละลายนี้จะไปเพิ่มปริมาณน้ำในมหาสมุทร เมื่อประกอบกับอุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำสูงขึ้น น้ำก็จะมีการขยายตัวร่วมด้วย ทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมาก ส่งผลให้เมืองสำคัญ ๆ ที่อยู่ริมมหาสมุทรตกอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลทันที
มีการคาดการณ์ว่า หากน้ำแข็งดังกล่าวละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6-8 เมตรทีเดียว
ผลกระทบที่เริ่มเห็นได้อีกประการหนึ่งคือ การเกิดพายุหมุนที่มีความถี่มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ดังเราจะเห็นได้จากข่าวพายุเฮอริเคนที่พัดเข้าถล่มสหรัฐหลายลูกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่ละลูกก็สร้างความเสียหายในระดับหายนะทั้งสิ้น สาเหตุอาจอธิบายได้ในแง่พลังงาน กล่าวคือ เมื่อมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น พลังงานที่พายุได้รับก็มากขึ้นไปด้วย ส่งผลให้พายุมีความรุนแรงกว่าที่เคย
นอกจากนั้น สภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้บางบริเวณในโลกประสบกับสภาวะแห้งแล้งอย่างอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น ขณะนี้ได้เกิดสภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอีกเนื่องจากต้นไม้ในป่าที่เคยทำหน้าที่ดูดกลืนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ล้มตายลงเนื่องจากขาดน้ำ นอกจากจะไม่ดูดกลืนแก๊สต่อไปแล้ว ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากกระบวนการย่อยสลายด้วย และยังมีสัญญาณเตือนจากภัยธรรมชาติอื่น ๆ อีกมา ซึ่งหากเราสังเกตดี ๆ จะพบว่าเป็นผลจากสภาวะนี้ไม่น้อย
จะป้องกันได้อย่างไร
ได้มีผู้แนะนำวิธีการช่วยป้องกันสภาวะโลกร้อนไว้ดังนี้
1. การลดระยะทาง
2. ปิดเครื่องปรับอากาศ
3. ลดระดับการใช้งานของเครื่องใ้ชไฟฟ้า
4. Reuse
5. การรักษาป่าไม้
6. ลดการใช้น้ำมัน
การแก้ปัญหาโลกร้อน
แล้วเราจะหยุดสภาวะโลกร้อนได้อย่างไร
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าเราคงไม่อาจหยุดยั้งสภาวะโลกร้อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ถึงแม้ว่าเราจะหยุดผลิตแก๊สเรือนกระจกโดยสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้ เพราะโลกเปรียบเสมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีกลไกเล็ก ๆ จำนวนมากทำงานประสานกัน การตอบสนองที่มีต่อการกระตุ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะสมดุล และแน่นอนว่า สภาวะสมดุลอันใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมจะแตกต่างจากสภาวะปัจจุบันอย่างมาก
แต่เราก็ยังสามารถบรรเทาผลอันร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้ความรุนแรงลดลงอยู่ในระดับที่พอจะรับมือได้ และอาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้ช้าลง กินเวลานานขึ้น สิ่งที่เราพอจะทำได้ตอนนี้คือพยายามลดการผลิตแก๊สเรือนกระจกลง และเนื่องจากเราทราบว่าแก๊สดังกล่าวมาจากกระบวนการใช้พลังงาน การะประหยัดพลังงานจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดอัตราการเกิดสภาวะโลกร้อนไปในตัว
เก่งจริงคลิ๊กเลย แบบทดสอบ
การเก็บสารเคมี
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าสารเคมีถูกจำแนกออกเป็น 9 ประเภท ซึ่งในแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน สารเคมีบางชนิดมีอันตรายเนื่องจากคุณสมบัติของสารนั้นเอง ในขณะที่สารบางอย่างเมื่อยู่ตามลำพังไม่มีพิษภัยใดๆ แต่เมื่อปนอยู่กับสารเคมีอื่นๆจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ การจัดเก็บสารเคมีมากมายหลายวิธี วิธีที่สะดวกและมีผู้ใช้กันมากที่สุดคือ เรียงตามตัวอักษร แต่การจัดแบบดังกล่าวอาจทำให้สารที่ไม่ควรอยู่ใกล้กันมาเก็บไว้ด้วยกัน ซึ่งอาจเกิดระเบิดหรือปล่อยก๊าซพิษออกมาเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นวิธีเก็บสารเคมีโดยรียงตามลำดับตัวอักษร จึงไม่ใช่วิธีการเก็บสารเคมีที่ปลอดภัย อีกวิธีหนึ่งคือ การจัดสารเคมีที่ดับเพลิงโดยวิธีเดียวกันไว้ด้วยกัน เพื่อสะดวกในการใช้เครื่องดับเพลิงเวลาเกิดไฟไหม้ แต่ก็เช่นเดียวกันกับแบบแรกคือจะทำให้สารที่เข้ากันไม่ได้มาอยู่ใกล้กัน
ปกติแล้วการเก็บสารเคมีทุกชนิด จะมีหลักการทั่วๆไป ดังนี้
1. สถานที่เก็บสารควรเป็นสถานที่ปิดมิดชิด อยู่ภายนอกอาคาร ฝาผนังควรทำด้วยสารทนไฟ (กันไฟ) ปิดล็อคได้ และมีป้ายบอกอย่างชัดเจนว่า “สถานที่เก็บสารเคมี”2. ภายในสถานที่เก็บสารเคมี ควรมีอากาศเย็นและแห้ง มีระบบถ่ายเทอากาศที่ดี และแดดส่องไม่ถึง3. ชั้นวางสารเคมีภายในสถานที่เก็บสารเคมีต้องมั่นคง แข็งแรง ไม่มีการสั่นสะเทือน4. ภาชนะที่บรรจุสารเคมี ต้องมีป้ายชื่อที่ทนทานคิดอยู่พร้อมทั้งบอกอันตรายและข้อควรระวังต่างๆ5. ภาชนะที่ใส่ต้องทนทานต่อความดัน การสึกกร่อนและแรงกระแทกจากภายนอก ควรมีภาชนะสำรอง ในกรณีที่เกิดการแตกหรือภาชนะรั่วจะได้เปลี่ยนได้ทันที6. ภาชนะเก็บสารที่ใหญ่และหนักไม่ควรเก็บในที่สูง เพื่อจะได้สะดวกในการหยิบใช้7. ขวดไม่ควรวางบนพื้นโดยตรง หรือไม่ควรวางช้อนบนขวดอื่นๆ และมีระยะห่างกันพอสมควรระหว่างชั้นที่เก็บสาร ไม่ควรวางสารตรงทางแคบ หรือใกล้ประตูหรือหน้าต่าง8. ควรเก็บสารตามลำดับการเข้ามาก่อนหลัง และต้องใช้ก่อนหมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วต้องทำลายทันที ห้ามใช้โดยเด็ดขาด9. ควรแยกเก็บสารเคมีในปริมาณน้อยๆ โดยใช้ภาชนะบรรจุขนาดเล็ก บริเวณที่เก็บสารควรรักษาความสะอาดและให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างสม่ำเสมอ และมีการจัดเรียงอย่างมีระบบ10. ต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์ป้องกันภัย และเครื่องปฐมพยาบาลพร้อมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
โดยทั่วไป เมื่อทราบคุณสมบัติของสารแล้วก็สามารถกำหนดได้ว่าจะเป็นสารอย่างไร ตัวอย่างเช่น ของเหลวที่มีจุดเยือกแข็งต่ำๆ จะต้องเก็บที่อุณหภูมิสูงกว่านั้น เพราะเมื่อสารนั้นแข็งตัว ปริมาตรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ขวดแตกได้ และที่อันตรายมากคือสารบางประเภทต้องใช้ตัวยับยั้ง (inhibitor) ใส่ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้สารนั้นระเบิด ถ้าสารแข็งตัวแยกตัวจากตัวยับยั้งมาเป็นสารบริสุทธิ์ เมื่อสารนั้นหลอมเหลวอีกครั้งหนึ่งจะเกิดระเบิดได้ เช่น acrylic acidนอกจากการพิจารณาเก็บสารเคมีตามความไวในปฏิกิริยาแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงการเข้ากันไม่ได้ของสารเคมี เช่น galcial acetic acid เป็นสารเคมีที่จุดติดไฟและระเบิดได้เมื่อถูกสัมผัสกับ oxidizing acid เช่น nitric acid, perchloric acid หรือ sulfuric acid เข้มข้น เพราะฉะนั้นควรเก็บ acetic acid ให้ห่างจาก oxidizers ไม่ใช่กรดเหมือนกันจะเก็บด้วยกันได้มีสารเคมีหลายประเภทที่เราต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ได้แก่ กรด (acid) ด่าง (bases)
สารไวไฟ (flammable materials)
ปรกติการลุกไหม้เกิดขึ้นระหว่างออกซิเจนและเชื้อเพลิงในรูปที่เป็นไอ หรือละอองเล็กๆ ดังนั้น สารที่ระเหยได้ง่ายมีความดันไอสูงจะติดไฟได้ง่าย ละอองหรือฝุ่นของสารเคมีที่ไวไฟก็สามารถลุกติดไฟได้ง่ายพอๆกับสารที่เป็นก๊าซหรือไอ สารที่ลุกติดไฟได้ง่ายในสภาพอุณหภูมิและความดันปกติ จะถือว่าเป็นสารไวไฟ ตัวอย่างของสารเหล่านี้ ได้แก่ ผงละเอียดของโลหะไฮโดรของโบรอน ฟอสฟอรัส ของเหลวที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 30 ?C และก๊าซไวไฟต่างๆการเก็บ- เก็บในที่เย็นอากาศถ่ายเทได้ และอยู่ห่างจากแหล่งจุดติดไฟ เช่น ความร้อน ประกายไฟหรือเปลวไฟ- เก็บไว้ในภาชนะที่ปลอดภัย หรือตู้เก็บสารไวไฟซึ่งตรวจสอบดูแล้วว่าปลอดภัย ภาชนะที่เก็บต้องมีฝาปิดแน่นไม่ให้อากาศเข้าได้- เก็บแยกจากสารพวก oxidizers สารที่ลุกติดไฟเองได้ สารที่ระเบิดได้และสารที่ทำปฏิกิริยากับอากาศหรือความชื้นและให้ความร้อนออกมาเป็นจำนวนมาก- มีป้ายห้ามสูบบุหรี่ หรือห้ามจุดไม้ขีดไฟ- พื้นที่นั้นควรต่อสายไฟลงในดินเพื่อลดไฟฟ้าสถิตย์ที่อาจเกิดขึ้นได้
สารที่เข้ากันไม่ได้ (incompatible materials)
สารที่เข้ากันไม่ได้ คือ สารที่เมื่อมาใกล้กันจะทำปฏิกิริยากันอย่างรุนแรง เกิดการระเบิด เกิดความร้อนหรือให้ก๊าซพิษออกมาได้ สารพวกนี้จะต้องเก็บแยกต่างหากห่างจากกันมากที่สุด เช่นการเก็บสารที่ไวต่อน้ำ - ต้องเก็บในที่อากาศเย็นและแห้ง ห่างไกลจากน้ำ- เตรียมเครื่องดับเพลิง class D ไว้ในกรณีเกิดไฟไหม้oxidizers - เก็บห่างจากเชื้อเพลิง และวัสดุติดไฟได้- เก็บห่างจาก reducing agents เช่น zinc, alkaline metal หรือ formic acid
อันตรายจากพิษของสาร (toxic hazards)
สารเป็นพิษ (toxic chemicals) คือ สารซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดๆ ซึ่งทั้งนี้จะรวมถึงสารกัมมันตรังสี (radioactive) ด้วยการเก็บ- ภาชนะต้องปิดฝาสนิท อากาศเข้าไม่ได้- ห่างจากแหล่งจุดติดไฟ- ต้องมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ทั้งภาชนะที่เก็บและบริเวณที่เก็บสารนั้นๆ- สารที่ไวต่อแสง ต้องเก็บไว้ในขวดสีชา ในสถานที่เย็น แห้งและมืด
สารกัดกร่อน (corrosive materials)
สารกัดกร่อนจะรวมถึง กรด acid anhydride และ ด่าง สารพวกนี้มักจะทำลายภาชนะที่บรรจุและออกมายังบรรยากาศภายนอกได้ บางตัวระเหยได้บางตัวทำปฏิกิริยารุนแรงกับความชื้นการเก็บ- เก็บในที่เย็น แต่ต้องสูงกว่าจุดเยือกแข็ง- ต้องใช้ถุงมือ สวมแว่นตา ฯลฯ เมื่อใช้สารพวกนี้- ต้องเก็บกรดแยกห่างจากโลหะที่ไวในการทำปฏิกิริยา เช่น sodium, potassium และ magnesium เป็นต้น- ด่างต้องแยกเก็บจากกรดและสารอื่นๆ ที่ไวต่อการทำปฏิกิริยา
สารระเบิดได้ (explosives)
คือสารซึ่งที่อุณหภูมิหนึ่งๆจะเกิดการ decompose อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนหรือเกิดปฏิกิริยารุนแรง จะให้ก๊าซออกมาจำนวนมาก รวมทั้งความร้อนด้วย ซึ่งทำให้อากาศรอบๆ ตัวเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้เกิดการระเบิดขึ้นได้สิ่งที่มีผลต่อสารที่ระเบิดได้ คือ ความร้อนหรือเย็นจัดๆ อากาศแห้ง หรือขึ้นในการเก็บ ความไม่ระมัดระวังในการ handle ระยะเวลาในการเก็บ ระยะเวลาที่เอาออกมาจากภาชนะเริ่มแรกก่อนใช้การเก็บ- เก็บห่างจากอาคารอื่นๆ- มีการล๊อคอย่างแน่นหนา- ไม่ควรเก็บในที่มีเชื้อเพลิง หรือสารที่ติดไฟได้ง่าย- ต้องห่างเปลวไฟอย่างน้อย 20 ฟุต- ไม่ควรมีชนวนระเบิด (detonators), เครื่องมือและสารอื่นๆอยู่ด้วย- ไม่ควรซ้อนกันเกิน 6 ฟุต- ต้องเคลื่อนย้ายด้วยความระมัดระวัง- ห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปในที่เก็บสารได้
ลักษณะโกดังเก็บสารเคมี
สถานที่ตั้ง
ระบบระบายน้ำ ป้องกันการไหลของน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะพร้อมระบบบำบัดน้ำเสีย เนื่องจากน้ำที่เกิดจากการดับเพลิง ก่อให้เกิดปัญหา สิ่งแวดล้อม
บริเวณโดยรอบ
การออกแบบอาคารเก็บสารเคมีแผนผังอาคารต้องออกแบบให้สอดคล้องกับชนิดของสารเคมีที่จะเก็บ ซึ่งมีการตระเตรียมในเรื่องทางออกฉุกเฉินอย่างเพียงพอ เนื้อที่และพื้นที่ของอาคารเก็บสารเคมีต้องถูกจำกัด โดยแบ่งออกเป็นห้องๆหรือเป็นสัดส่วน เพื่อเก็บสารอันตรายคนละประเภทและสารอันตรายประเภทที่ไม่สามารถเก็บรวมกันได้อาคารต้องปิดมิดชิด และปิดล็อคได้ วัสดุก่อสร้างอาคารเป็นชนิดไม่ไวไฟ และโครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหรือเหล็ก ถ้าเป็นโครงสร้างเหล็กต้องหุ้มด้วยฉนวนกันความร้อน
ผนังอาคาร
หลังคา
ประตูกันไฟ จะประกอบด้วย
ทางออกฉุกเฉิน
การระบายน้ำท่อระบายน้ำแบบเปิดไม่เหมาะสำหรับการเก็บสารเคมีที่เป็นสารพิษ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากสารเคมีที่หกรั่วไหล และน้ำจากการดับเพลิงไหลลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ท่อระบายน้ำจากน้ำฝนต้องอยู่นอกอาคาร ท่อระบายน้ำในอาคารต้องเป็นชนิดที่ไม่ติดไฟ
แสงสว่างและอุปกรณ์ไฟฟ้า
ความร้อน
ระบบป้องกันฟ้าผ่าทุกอาคารที่เก็บสารเคมีประเภทไวไฟ ต้องติดตั้งสายล่อไฟ หรืออาจยกเว้นถ้าโกดังดังกล่าวอยู่ภายในรัศมีครอบคลุมจากสายล่อฟ้าของอาคารอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้
ข้อกำหนดอื่นๆไม่ควรสร้างสำนักงาน ห้องรับประทานอาหาร ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ารวมอยู่ในอาคารที่เก็บ แต่ถ้าจำเป็นเพื่อความสะดวก โครงสร้างดังกล่าวนี้ต้องแยกออกจากอาคารที่เก็บสารอันตราย และสามารถทนไฟได้นาน 60 นาที
-การเก็บสารเคมีและวัตถุอันตรายนอกอาคาร ต้องมีการจัดเตรียมเขื่อนป้องกันเช่นเดียวกับการเก็บสารเคมีในอาคาร และต้องมีหลังคาป้องกันแสงแดดและฝนด้วย
ข้อพิจารณาเพิ่มเติมจากการเก็บสารเคมีและวัตถุอันตรายนอกอาคาร
สารเคมีและวัตถุอันตรายที่เก็บนอกอาคาร โดยเฉพะในประเทศที่มีอากาศร้อนต้องคำนึงถึงการเสื่อมสภาพ เนื่องจากการสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูง จึงต้องระมัดระวังในการเลือกวิธีเก็บโดยอาศัยข้อมูลความปลอดภัย MSDS ช่วยในการพิจารณา
-เพื่อเป็นการป้องกันการปนเปื้อนสารเคมีและวัตถุอันตรายลงสู่ดินและแหล่งน้ำ บริเวณ ที่เก็บต้องปูพื้นด้วยวัสดุที่ทนต่อน้ำและความร้อน ไม่ควรใช้ยางมะตอยเพราะจะหลอมตัวได้ง่าย เมื่ออากาศร้อน
-บริเวณที่เป็นเขื่อนกั้นต้องติดตั้งระบบควบคุมการระบายน้ำด้วยประตูน้ำ
-สารเคมีและวัตุอันตรายที่เก็บต้องตรวจสอบการรั่วไหลอย่างสม่ำเสมอเพื่อมิให้ปนเปื้อน ลงสู่ระบบระบายน้ำ
-สารเคมีและวัตถุอันตรายที่เก็บในถัง 200 ลิตร และไม่ไวต่อความร้อน อาจเก็บไว้ในที่โล่ง แจ้งได้ แต่จะต้องมีระบบป้องกันการรั่วไหลของสารเคมีและวัตถุอันตรายเช่นเดียวกับที่เก็บในอาคาร
-แนะนำให้เก็บสารเคมีและวัตถุอันตรายในถังกลมในลักษณะตั้งตรงบนแผ่นรองสินค้า ถังที่เก็บในแต่ละแบบจะต้องมีพื้นที่ว่างเพียงพอเพื่อการดับเพลิง
-สารเคมีและวัตถุอันตรายที่เป็นของเหลวไวไฟสูง แก๊ส หรือคลอรีนเหลว ควรให้เก็บนอกอาคาร
พริกขี้หนู
การนำไปใช้ พริกขี้หนูแห้งเป็นขี้หนูสดสีแดงที่ตากแดดจนแห้ง นำมาคั่วแล้วป่นเป็นพริกป่น หรือทอดเป็นเครื่องแนมขนมจีนน้ำพริก ยำ ลาบ ทางภาคใต้นิยมโขลกเป็นน้ำพริกแกง พริกขี้หนูสดใช้ทั้งสีแดงและสีเขียว ซอยหรือโขลกทำเป็นน้ำยำต่างๆ ใส่ในผัดกะเพรา ให้ความเผ็ดในต้มยำ ต้มแซบ หรือคั่วพอหอมบดผสมกับน้ำส้มสายชูเป็นเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวเรือ
พริกชี้ฟ้า
การนำไปใช้ พริกชี้ฟ้าแห้งมักใช้พริกสีแดงนำมาตากแห้ง โขลกใส่น้ำพริกแกงต่างๆ นำไปคั่วหรือเผาไฟให้หอมในต้มโคล้ง ต้มยำ พริกชี้ฟ้าสดมีสีเขียว สีแดง สีเหลือง ซึ่งมีเหลืองมีความเผ็ดมากกว่าสีอื่น จึงนิยมมาโขลกกับกระเทียมใส่ในผัดเผ็ด ส่วนสีแดงและสีเขียวนำมาหั่นแฉลบใส่ในแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน ผัดพริก หรือหั่นเป็นแว่นใส่ในเครื่องจิ้มประเภทหลนและดองในน้ำส้มสายชูเป็นเครื่องปรุงรสก๋วยเตี๋ยว
ขิง
การนำไปใช้ ขิงมีทั้งขิงอ่อน ขิงแก่ การนำไปใช้ก็ต่างกัน ขิงแก่นิยมใส่ในอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอม เช่น โขลกรวมกับน้ำพริกแกงแล้วนำไปผัดพริกขิงหมูกับถั่วฝักยาว หรือใส่เป็นน้ำต้มขิงกินกับเต้าฮวยและใส่ในน้ำต้มน้ำตาล หรือซอยบางๆ ใส่ในปูอบวุ้นเส้น ส่วน ขิงอ่อน นิยมกินเป็นผัก เช่น ซอยใส่ในไก่ผัดพริก โรยหน้าโจ๊ก ต้มส้มปลา กินแนมกับไส้กรอกอีสาน ถ้ามีมากก็นำมาดองเป็นขิงดองสามรส กินกับเป็ดย่าง ไข่เยี่ยวม้า
กระเทียม
การนำไปใช้ ใส่ในผัดต่างๆ เช่น ผัดผักบุ้ง ผัดกะเพรา หรือสับละเอียดแล้วเจียวให้เหลืองใส่ในข้าวต้ม แกงจืด นำไปผสมกากหมูเจียวใส่เป็นเครื่องแต่งกลิ่นในก๋วยเตี๋ยวต่างๆ หรือนำมาโขลกกับรากผักชีและพริกไทยเป็นเครื่องหมักอาหาร เช่น ผสมกับเนื้อหมูบนใส่ในแกงจืด หมักเนื้อไก่ที่จะย่าง และเป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ
ใบมะกรูด
การนำไปใช้ ใช้ได้ทั้งผลมะกรูดและใบมะกรูด การใช้ผสมมะกรูดจะปอกเอาแต่ผิวเปลือกใส่เป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ น้ำมะกรูดใช้ปรุงรสเปรี้ยวในแกงเทโพ แกงส้ม เพราะมีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อม ถ้าผ่าครึ่งผลตามขวางทั้งเปลือกมักใส่ในแกงเทโพ น้ำพริกน้ำยาของขนมจีน ใบมะกรูด ใช้ใส่ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซบ หรือซอยโรยหน้าห่อหมก ฉู่ฉี่ พะแนง และใส่เป็นส่วนผสมทอดมัน
ตะไคร้
การนำไปใช้ ใส่ในอาหารประเภทต้มยำ พล่า เช่น ต้มยำ ต้มแซบ หรือต้มกับน้ำให้มีความหอมเพื่อลวกอาหารทะเล เช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ กุ้ง ปลาหมึก นอกจากนี้ยังซอยเฉียงเบาๆ แล้วทอดกรอบคลุกกับน้ำปรุงรสใช้โรยหน้าอาหารประเภทเนื้อปลาทอด เช่น ปลาทอดตะไคร้ ที่ขาดไม่ได้คือใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องปรุงน้ำพริกแกงต่างๆ
แมงลัก
ข่า
การนำไปใช้ มักใส่ในอาหารประเภทต้ม เช่น ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซบ หรือน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว ทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ใช้เป็นเครื่องปรุงในการต้มพะโล้ขาหมู บ้างก็นำมาโขลกละเอียดใส่ในลาบ เช่น ลาบปลาดุก ลาบหมู คนจีนมักนำข่ามาโขลกละเอียดผสมเต้าเจี้ยวกินกับข้าวต้มปลาและที่ขาดไม่ได้คือเป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ
พริกไทยอ่อน
สาระแหน่
การนำไปใช้ มักกินเป็นผักสดโดยใส่ในยำ ลาบ พล่า น้ำตก
หอมแดง
การนำไปใช้ ใส่ในยำ ลาบ พล่า เป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ หรือซอยบางๆ เจียวให้กรอบโรยหน้าขนมหม้อแกง และใส่ในน้ำปลาหวาน ราดไข่ลูกเขย หรือน้ำปลาหวานกินกับสะเดาลวกและปลากดุกย่าง
โหรพา
การนำไปใช้ นิยมใส่ในแกงกะทิ แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด หรือใส่ในผัดอย่างหอยลายผัดน้ำพริกเผา นอกจากนี้ยังนิยมกินสดกับลาบ ก้อย น้ำตก และใส่เป็นผักต้มในอาหารอีสานอย่างแจ่วฮ้อน ส่วนอาหารเวียดนามนิยมกินสดแนมกับแหนมเนือง หรือใส่เป็นไส้ผักในเปาะเปี๊ยะเวียดนาม และก๋วยเตี๋ยวเวียดนามที่เรียกว่า เฝอ ในก๋วยเตี๋ยวไทยก็นิยมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวเรือ
กระเพรา
กระชาย
การนำไปใช้ นิยมใส่ในแกงที่ใช้เนื้อสัตว์กลิ่นคาว เช่น ปลา เนื้อวัว หรือใช้เป็นเครื่องปรุงเพิ่มความหอม เช่น ใส่ในผัดเผ็ด แกงป่า ทำเป็นน้ำยาของขนมจีนน้ำยา
ข้าวผัดอินโดนีเซีย
เครื่องปรุง
ข้าวสวย 1 ถ้วย
กุ้งแชบ๊วยแกะเปลือก 2 ตัว
ปลาหมึกบั้งหั่นชิ้นพอคำ 3 ชิ้น
เนื้อไก่หั่นชิ้นพอคำ 4 ชิ้น
หอมใหญ่สับ 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
เนย 2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องเคียง
ข้าวเกรียบทอด 3 ชิ้น
หมูสะเต๊ะ 2 ไม้
เครื่องปรุงอาจาด
แตงกวาหั่นบางๆ ตามขวาง 3 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 หัว
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย 1 ช้อนชา
ผักชีเด็ดเป็นใบ 4 ใบ
น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
เกลือป่น 1/2 ถ้วย
เคี่ยวน้ำตาล เกลือ น้ำส้มสายชูเข้าด้วยกัน ทิ้งไว้ให้เย็น ใส่แตงกวา หอมแดง พริกชี้ฟ้าแดงลงในถ้วย ใส่น้ำปรุงรสที่เย็นแล้ว ใส่ผักชี
วิธีทำ
1. ใส่เนยลงในกระทะ ตั้งไฟพอเนยละลาย ใส่หอมใหญ่ ผัดให้สุกใส
2. ใส่เนื้อไก ปลาหมึก กุ้ง ผัดพอสุก ใส่ข้าว ผัดให้ทั่ว
3. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ซอสปรุงรส ผัดพอทั่ว
4. ตักใส่จาน โรยพริกไทย รับประทานกับหมูสะเต๊ะ ข้าวเกรียบทอด อาจาด
ขนมชั้น
ส่วนประกอบ
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วยตวง แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง น้ำกะทิ 2 ถ้วยตวง น้ำดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง สีผสมอาหารเล็กน้อย
วิธีการทำ
เอาน้ำตาลทรายมาละลายกับน้ำดอกมะลิ เคี่ยวทำน้ำเชื่อม ในกระทะทอง พอละลายหมด ก็ยกลงมาพักไว้ กรองด้วยผ้าขาวบาง พักเอาไว้ก่อน ต้มน้ำกะทิให้เดือด ค่อย ๆ คน อย่าให้น้ำกะทิจับตัวกันเป็น ลูก พอเดือดก็ยกลงจากเตาพักไว้ก่อนเช่นกัน นำแป้งข้าวเจ้า แป้งถั่วเขียว และแป้งมันสำปะหลัง มารวม กัน นวดกับหัวกะทิที่มีอยู่ จากนั้นน้ำเชื่อมใส่ลงไป กวน ให้เข้ากัน ถ้าเห็นว่าแห้งเกินไป ให้เติมน้ำดอกมะลิลงไป สักเล็กน้อยก็ไม่ผิดอะไร กรองด้วยผ้าขาวบางอีกที แบ่งแป้งออกเป็นสองส่วน ผสมสีอ่อนส่วนหนึ่ง สีแก่ส่วน หนึ่ง เช่นสีเขียวอ่อน ๆ ส่วนหนึ่ง แล้วก็สีขาวของเนื้อแป้ง โดยไม่ต้องผสม เพื่อเทสลับกันเป็นชั้น ๆ เทอย่างน้อย 7-9 ชั้น และควรเลือกสีอ่อน ๆ เพื่อให้สวยงาม และดูน่ารับประทาน ไม่ใช่น่ากลัว เทลงไปทีละชั้นในถาดขนมบาง ๆ จากนั้นก็นำไปนึ่งในรัง ถึงจนสุก และนำออกมาเทอีกชั้นสลับสี จนเต็มถาด และ ปล่อยให้เย็น และตัดออกเป็นชิ้น ๆ
หลนปูเค็ม
เครื่องปรุง
มะพร้าวขูด 300 กรัม
เนื้อหมูสับละเอียด 1/4ถ้วย
น้ำปลา 1ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 2 ช้อนชา
น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดฉีก 1-2ใบ
พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น 1เม็ด
ผักชีเด็ดใบ
ปูนาดองเค็ม 2 ตัว
ผักสด
วิธีทำ
การทำหลนไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด เริ่มจากการนำปูที่ดองเค็มมาล้างให้สะอาด เพื่อชำระความเค็มบางส่วน ออกจากตัวปูไม่ให้เค็มเกินไป จากนั้นนำปูมาหั่นแล้วลวกพอสะดุ้ง แล้วหันมาคั้นมะพร้าวให้ได้ทั้งหัวกะทิและหางกะทิ จากนั้นตั้งกระทะให้ได้ไฟปานกลาง แล้วจึงเทหัวกะทิลงไปหมั่นคนอยู่ตลอดเวลา อย่าให้น้ำกะทิแตกมัน
เมื่อน้ำกะทิเริ่มเดือดจึงใส่หอมแดงซอยลงไป คนให้เข้ากันเมื่อได้ที่แล้ว จึงใส่เนื้อหมูสับละเอียดลงไปคั่วจนหมูสุกได้ที่ เติมหางกะทิลงไปพร้อมปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล เกลือและน้ำมะขามเปียก เคี่ยวจนเดือดใส่ปูเค็มลงไปต้มพอสุกแล้วตักขึ้นใส่ถ้วย จากนั้นโรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้า ใบมะกรูดผักชีฉีกกินคู่กับผักสดตามใจชอบ ยิ่งถ้าได้ข้าวสวยร้อน ๆสักจาน รับรองคนที่ได้ชิมรสมือคุณจะติดใจ
ขนมจีนน้ำยาปู
ส่วนผสม (สำหรับ 5 ที่)
เนื้อปู 300 กรัม
ก้ามปู 5-6 ก้าม
หางกะทิ 4 ถ้วย
หัวกะทิ 2 ถ้วย
ปลาอินทรีย์เค็ม 1 ชิ้น
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดฉีก 7 ใบ
เส้นขนมจีน 1/2 กิโลกรัม
ผักสด เช่น กะหล่ำปลีหั่นฝอย ถั่วฝักยาว ถั่วงอก แตงกวา ใบแมงลัก ใบบัวบก ผักกาดดอง มะระลวก พริกแห้งทอด
ส่วนผสมพริกแกง
พริกแห้งเม็ดใหญ่หั่นท่อนแช่น้ำจนนิ่ม 10 เม็ด
หอมเล็ก 5-7 หัว
กระเทียม 1 หัว
กระชายซอยหยาบ 2/3 ถ้วย
ตะไคร้ซอย 5 ต้น
วิธีทำ
ย่างปลาอินทรีย์เค็มจนสุกหอมพักไว้
ต้มพริกแห้ง หอมเล็ก กระเทียม กระชาย และตะไคร้กับหางกะทิ 2 ถ้วยจนสุกนิ่ม ใส่เครื่องปั่นปั่นจนละเอียดนำขึ้นตั้งไฟใส่หางกะทิและหัวกะทิที่เหลือต้มจนเดือด
ยีปลาเค็มใส่ในน้ำแกง ใส่เนื้อปูและก้ามปู ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ เกลือ และน้ำปลา รอจนเดือดอีกครั้งใส่ใบมะกรูดยกลงจากเตา ตักราดบนเส้นขนมจีนกินกับผักสดตามชอบ
ก๋วยเตี๋ยวขาว
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 500 กรัม
หมูสับละเอียดหรือหมูบด 200 กรัม
เต้าเจี้ยว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาดหรือน้ำซุป 1-2 ถ้วย
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
หอมเล็กซอยทอดกรอบ 1/2 ถ้วย
ถั่วลิสงคั่วตำพอหยาบ 1/2 ถ้วย
ผักชี ต้นหอมซอย
ซีอิ๊วขาว
พริกป่น
น้ำมะนาว
ผักกาดหอม
วิธีทำ
ยีเส้นก๋วยเตี๋ยวให้แยกจากกัน เหยาะซีอิ๊วนิดหน่อยพอได้รสเค็ม ตั้งกระทะเจียวกระเทียมจนเหลือง แล้วใส่ก๋วยเตี๋ยวลงผัดจนหอม ตักขึ้นพักไว้
รวนหมูสับในกระทะจนหมูเกือบแห้ง แล้วใส่เต้าเจี้ยวลงผัดให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมน้ำสต็อกและต้มให้เดือด
ตักก๋วยเตี๋ยวใส่สาน โรยหอมเจียว ถั่วลิสงคั่ว ผักชี ต้นหอมซอย ตักน้ำซุปราด ใส่พริกป่น มะนาว จะใส่ผักกาดหอมด้วยก็ได้
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552
taj Mahal
ตำแหน่งที่ตั้ง
ฝั่งขวาแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย
ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
รายละเอียด
เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรัก สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1631 เสร็จ ค.ศ. 1648 รวมเวลาก่อสร้าง 17 ปี ใช้เวลาตกแต่ง 5 ปี รวมเวลาทั้งหมด 22 ปี ใช้งบประมาณก่อสร้าง 30 ล้านรูปี คนงานก่อสร้าง 20,000 คน ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาร์เจฮาน แห่งราชวงศ์โมกุล สร้างขึ้นเพื่อบรรจุศพของพระนางมุมทัส มาฮาล ซึ่งเป็นพระมเหสีสุดที่รักของพระองค์ โดยสร้างขึ้นบริเวณฝั่งขวาแม่น้ำยมนา ตอนโค้งที่สวยงามในเนื้อที่ 625 ไร่ ทัชมาฮาลทำด้วยหินอ่อนสีขาว ภายในสุสานใต้โดมใหญ่เป็นที่ประดิษฐานหีบศพของพระนางมุมทัส และกษัตริย์ชาร์เจฮาน
ด้วยความงามจากหินอ่อนและ สถาปัตยกรรมที่วิจิตร ตั้งบนฝั่งแม่น้ำยมนา ณ เมืองอัคราทางตอนเหนือ ของประเทศอินเดีย อันเกิดจากชายผู้ หนึ่งซึ่งเป็นถึงองค์จักรพรรดิองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์โมกุล พระนามว่า ชาร์ จาฮาล ทรงสร้างเพื่อรำลึกถึง พระมเหสีองค์ที่ 2 ของพระองค์ พระนางมุมตัส มาฮาล อันมีกำเนิดเป็น หญิงสูงศักดิ์ชาวเปอร์ เซีย ซึ่งสิ้นพระชนม์ลงภายหลังประสูติพระโอรส องค์ที่ 14 ในขณะที่ทรงร่วมกับพระสวามีต่อต้านข้าศึก ที่เข้ามารุกราน ณ เมือง เบอร์แฮนเพอร์ เล่ากันมา การสิ้นพระชนม์ของพระนาง ทำให้ชาร์ จาฮาล โศก เศร้าเสียใจเป็นอันมา จนทำให้พระเกศาของพระองค์ ขาวโพลนในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ความวิจิตรตระการตาของ ทัส มาฮาล ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 22 ปี แต่ผลสุดท้าย ชาร์ จาฮาล ก็ได้แต่เพียงยลโฉมความงามของทัส มาฮาล ผ่านช่องหน้าต่างในคุกเท่านั้น ณ ป้อมเมืองอัคราเท่านั้น
เมื่อครั้งแรกพบ พระนางมุมตัส มาฮาล หรือในพระนามเดิมว่า อาจูมานด์ บานู กำลังขายเครื่องประดับใน เทศกาลออกร้านครั้งหนึ่งอันถือเป็นขนบ ธรรมเนียมประเพณีที่เปิดโอกาสให้หญิงสูงศักดิ์มาขายเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆแก่ชายหนุ่มสูงศักดิ์ด้วยราคาที่แพงลิบลิ่วเพียงเพื่อให้ทั้งคู่ได้สานทอ สายใยแห่งรัก จนถึงขั้นหมั้นหมายและแต่งงานกันหลังจากการพบกันครั้งแรก จนก่อให้เกิดพระราชพิธีอภิเษกสมรสขึ้นใน วันที่ 30 เมษายน 1612 ชาว เมืองอัครเข้าร่วมเฉลิมฉลองในพิธีอย่าง โดยความปิติยินดีต่อองค์จักรพรรดิ เจ้าสาว พระชนมายุเพียง 19 ชันษา ได้รับพระราชทานพระนามใหม่เป็นพระนางมุมตัส มาฮาล อันเป็นชื่อวังแห่งหนึ่งขององค์จักรพรรดิ ขณะที่พระนางมุมตัส มาฮาลดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ได้เคยขอสัญญาจาก ชาร์ จาฮาล ไว้ 4 ข้อ หาก พระนางสิ้นพระชนม์ลง คือ 1.ต้องสร้างทัสมาฮาลเป็นสุสานของพระนาง 2.ให้องค์จักรพรรดิ์อภิเษก สมรสอีกครั้ง 3.องค์จักรพรรดิควรมีราชกรุณาต่อเด็กๆ 4.ต้องเสด็จราชดำเนินไปยังทัส มาฮาลอันเป็นที่ ฝั่งศพของพระนางทุกๆปี ภายหลังจากที่พระนางมุมตัสสิ้นพระชนม์ลง ชาร์ จาฮาล ทรงกระทบ กระเทือนพระทัยอย่างมาก ถึงกับงดการว่าราชการ ไม่ฉลองพระองค์ เยี่ยงกษัตริย์ เสวยอาหารพื้นๆและไม่ฟังดนตรี พระองค์ทรงเอาแต่กันแสง เส้นพระเกศาหงอกขาวอย่างรวดเร็ว ทรงเลิกเป็นผู้นำทัพไปปกป้องชาย แดน เอาแต่ประทับอยู่ในวัง มอบหมายให้ข้าราชบริพารไปทำกันหมด ความโศกเศร้าต่อการจากไปของนางอันเป็ที่รักกินเวลานานถึง 2 ปี
หลังจากนั้นพระองค์ทรงปฎิบัติตามสัญญาทรงก่อสร้าง ทัสมาฮาลในปี 1631 การก่อสร้างใช้เวลานานถึง 22 ปี ใช้คนงานและช่างฝีมือเกือบ 20,000 คน มีการขนหินอ่อนสีขาวจากเมืองโชตบุระ ที่ไกลประมาณ 100 ไมล์ นอกจากนี้ยังมีอัญมณีมีค่าประดับประดาสุสาน ตั้งแต่หินลายสีฟ้าจาก ลังกา หินสีเขียวจากรัส เซีย หินโมราจากกรุงแบกแดดและพลอยจาก ทิเบต ยังต้องใช้ช้างนับพันตัวเพื่อขนย้ายวัสดุอุปกณ์เหล่านี้เข้ามา ทัสมาฮาลถือเป็นผลงานการออกแบบขั้นเอกอุจากสถาปนิกชาวอินหร่าน นามว่า อิทัส อูซา และ นอกจากความงามของสถาปัตยกรรมแล้ว สิ่งที่เสริมความงามของทัส มาฮาล นั้นก็คือ การเป็น "สัญญลักษณ์ของความรักชั่วนิรันดร์" ทัส มาฮาล และสิ่งก่อสร้างรายล้อมแล้วเสร็จในปี 1652 เมื่อผู้มาเยี่ยมชมเดินผ่านความมืดออกจาก ซุ้มประตูโค้ง ก็จะเห็นสถาปัตยกรรมหินอ่อนสีขาว ผุดผ่องเป็นสิ่งก่อสร้างที่ได้สัดส่วนกลมกลืนกันอย่าง เหมาะเจาะ สายตาจะถูกชี้นำด้วยทางน้ำที่เป็นเส้น ตรงเพื่อให้พื้นที่ในระดับสายตาซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่ง ก่อสร้าง อันมีฐานรองรับเป็นหินทรายและหินอ่อน เบื้องบนเป็นโดมกลมชูยอดแหลมเสียดฟ้า รายล้อม ด้วยหอคอยยอดกลมตั้งขนาบตรงมุมทั้ง 4 ทิศ
ความงดงามของหินอ่อนสีขาวยามสะท้องแสงแดด ทั้งในอรุณรุ่งและ สายัณห์จะค่อยๆเปลี่ยนสีผิวของสิ่ง ก่อสร้างนั้นเป็นสีม่วง สีแดงกุหลาบ และสีทอง ท่ามกลางละอองหมอกในตอนเช้า สิ่งก่อสร้างดูเหมือน วิมานในหมู่เมฆ ราวกับกลุ่มละอองหมอกก่อรูปขึ้นมาให้กลมกลืนประดุจ เป็นองค์ประกอบเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น ความตระหง่านทะมึนใต้แสงจันทร์ เต็มดวงของทัชมาฮาลดูสง่า เมื่อแสงที่สะท้อนจากตัวโดม เปล่งรัศมีดุจ ไอน้ำอีกทั้งยังสะท้อนแสงกระเพื่อมของน้ำจากสระรูปวงรี ผู้มาเยือนเดินเลียบไปตามเส้นทางน้ำที่เรียงรายเป็นทิวแถวด้วยไม้สนไซเพร็ส ก็จะค่อยๆแลเห็นเนื้อผิว หินอ่อนที่ขาวผุดผ่องของตัวสุสานอันเป็นเจตนา ของผู้ก่อสร้าง มีลวดลายดอกจากงานฝีมือฝังมุก และลวดลายอาหรับผสม ผสานเข้ากับบทสวดจากคัมภีร์กุรอ่านจากรึกไว้เหนือประตูทางเข้าด้วยอักษรลายมือ เหนือขึ้นไปอีกเป็นโดมมหึมาสูงประมาณ 230 ฟุต เปล่งปลั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดด เหมือนดอกไม้ตูม ขนาดยักษ์ ถึงแม้ ชาร์ จาฮาล ปฎิบัติตามสัญญาได้ทั้ง 3 ข้อ แต่ในข้อสุดท้ายนั้น พระองค์ไม่อาจปฎิบัติได้ เพราะว่า ในปี 1658 พระราชโอรสพระองค์หนึ่งของพระองค์ นามว่า ออรังเซบ ไม่อาจเห็นการใช้จ่ายเงินอย่าง ฟุ่มเฟือย อันก่อให้เกิดความเดือนร้อนต่ออาณาประชาราษฎร์ จึงทรงก่อการปฎิวัติแล้วจับองค์ ขาร์ จาฮาล คุมขังในป้อมเมืองอัครา ชาร์ จาฮาล จากที่เคยมีความสุขจากทรพัย์ศฤงคารมากเหลือคณานับ สุดท้าย บั้นปลายพระชนม์ชีพของพระองค์ ต้องประทับในที่คุมขังเป็นเวลานานถึง 8 ปี และสิ้นพระชนม์ลงในปี 1666 พระองค์ทรงได้แต่เพียงเขย่งพระบาทเกาะช่องหน้าต่างลูกกรงเหล็ก ทอดพระเนตรไปยังฝั่งตรง ข้ามของแม่น้ำยมนา เฝ้ามองสุสานของพระนางอันเป็นที่รัก ในที่สุดเมื่อองค์ ชาร์ จาฮาล สิ้นพระชนม์ลง พระศพของพระองค์ได้ถูกนำไปฝังเคียงข้างพระนางมุมตัส ภายใต้โดมหินอ่อนอันเป็นอนุสรณ์แห่งความ รัก นามว่า "ทัส มาฮาล"
ขอต้อนรับสู่หัวข้อใหม่ของ web ความรัก คือ รักนี้มีตำนาน สำหรับบท ความแรกขอ เสนอเรื่องราวของ อนุสรณ์สถานอันเป็นสัญญลักษณ์ของ ความรัก นั้นคือ ทัสมาฮาล ด้วยความงามจากหินอ่อนและ สถาปัตยกรรมที่วิจิตร ตั้งบนฝั่งแม่น้ำยมนา ณ เมืองอัคราทางตอนเหนือ ของประเทศอินเดีย อันเกิดจากชายผู้ หนึ่งซึ่งเป็นถึงองค์จักรพรรดิองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์โมกุล พระนามว่า ชาร์ จาฮาล ทรงสร้างเพื่อรำลึกถึง พระมเหสีองค์ที่ 2 ของพระองค์ พระนางมุมตัส มาฮาล อันมีกำเนิดเป็น หญิงสูงศักดิ์ชาวเปอร์ เซีย ซึ่งสิ้นพระชนม์ลงภายหลังประสูติพระโอรส องค์ที่ 14 ในขณะที่ทรงร่วมกับพระสวามีต่อต้านข้าศึก ที่เข้ามารุกราน ณ เมือง เบอร์แฮนเพอร์ เล่ากันมา การสิ้นพระชนม์ของพระนาง ทำให้ชาร์ จาฮาล โศก เศร้าเสียใจเป็นอันมา จนทำให้พระเกศาของพระองค์ ขาวโพลนในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ความวิจิตรตระการตาของ ทัส มาฮาล ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 22 ปี แต่ผลสุดท้าย ชาร์ จาฮาล ก็ได้แต่เพียงยลโฉมความงามของทัส มาฮาล ผ่านช่องหน้าต่างในคุกเท่านั้น ณ ป้อมเมืองอัคราเท่านั้นเมื่อครั้งแรกพบ พระนางมุมตัส มาฮาล หรือในพระนามเดิมว่า อาจูมานด์ บานู กำลังขายเครื่องประดับใน เทศกาลออกร้านครั้งหนึ่งอันถือเป็นขนบ ธรรมเนียมประเพณีที่เปิดโอกาสให้หญิงสูงศักดิ์มาขายเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆแก่ชายหนุ่มสูงศักดิ์ด้วยราคาที่แพงลิบลิ่วเพียงเพื่อให้ทั้งคู่ได้สานทอ สายใยแห่งรัก จนถึงขั้นหมั้นหมายและแต่งงานกัน หลังจากการพบกันครั้งแรก จนก่อให้เกิดพระราชพิธีอภิเษกสมรสขึ้นใน วันที่ 30 เมษายน 1612 ชาว เมืองอัครเข้าร่วมเฉลิมฉลองในพิธีอย่าง โดยความปิติยินดีต่อองค์จักรพรรดิ เจ้าสาว พระชนมายุเพียง 19 ชันษา ได้รับพระราชทานพระนามใหม่เป็นพระนางมุมตัส มาฮาล อันเป็นชื่อวังแห่งหนึ่งขององค์จักรพรรดิขณะที่พระนางมุมตัส มาฮาลดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ได้เคยขอสัญญาจาก ชาร์ จาฮาล ไว้ 4 ข้อ หาก พระนางสิ้นพระชนม์ลง คือ 1.ต้องสร้างทัสมาฮาลเป็นสุสานของพระนาง 2.ให้องค์จักรพรรดิ์อภิเษก สมรสอีกครั้ง 3.องค์จักรพรรดิควรมีราชกรุณาต่อเด็กๆ 4.ต้องเสด็จราชดำเนินไปยังทัส มาฮาลอันเป็นที่ ฝั่งศพของพระนางทุกๆปี ภายหลังจากที่พระนางมุมตัสสิ้นพระชนม์ลง ชาร์ จาฮาล ทรงกระทบ กระเทือนพระทัยอย่างมาก ถึงกับงดการว่าราชการ ไม่ฉลองพระองค์ เยี่ยงกษัตริย์ เสวยอาหารพื้นๆและไม่ฟังดนตรี พระองค์ทรงเอาแต่กันแสง เส้นพระเกศาหงอกขาวอย่างรวดเร็ว ทรงเลิกเป็นผู้นำทัพไปปกป้องชาย แดน เอาแต่ประทับอยู่ในวัง มอบหมายให้ข้าราชบริพารไปทำกันหมด ความโศกเศร้าต่อการจากไปของนางอันเป็ที่รักกินเวลานานถึง 2 ปีหลังจากนั้นพระองค์ทรงปฎิบัติตามสัญญาทรงก่อสร้าง ทัสมาฮาลในปี 1631 การก่อสร้างใช้เวลานานถึง 22 ปี ใช้คนงานและช่างฝีมือเกือบ 20,000 คน มีการขนหินอ่อนสีขาวจากเมืองโชตบุระ ที่ไกลประมาณ 100 ไมล์ นอกจากนี้ยังมีอัญมณีมีค่าประดับประดาสุสาน ตั้งแต่หินลายสีฟ้าจาก ลังกา หินสีเขียวจากรัส เซีย หินโมราจากกรุงแบกแดดและพลอยจาก ทิเบต ยังต้องใช้ช้างนับพันตัวเพื่อขนย้ายวัสดุอุปกณ์เหล่านี้เข้ามา ทัสมาฮาลถือเป็นผลงานการออกแบบขั้นเอกอุจากสถาปนิกชาวอินหร่าน นามว่า อิทัส อูซา และ นอกจากความงามของสถาปัตยกรรมแล้ว สิ่งที่เสริมความงามของทัส มาฮาล นั้นก็คือ การเป็น "สัญญลักษณ์ของความรักชั่วนิรันดร์" ทัส มาฮาล และสิ่งก่อสร้างรายล้อมแล้วเสร็จในปี 1652 เมื่อผู้มาเยี่ยมชมเดินผ่านความมืดออกจาก ซุ้มประตูโค้ง ก็จะเห็นสถาปัตยกรรมหินอ่อนสีขาว ผุดผ่องเป็นสิ่งก่อสร้างที่ได้สัดส่วนกลมกลืนกันอย่าง เหมาะเจาะ สายตาจะถูกชี้นำด้วยทางน้ำที่เป็นเส้น ตรงเพื่อให้พื้นที่ในระดับสายตาซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่ง ก่อสร้าง อันมีฐานรองรับเป็นหินทรายและหินอ่อน เบื้องบนเป็นโดมกลมชูยอดแหลมเสียดฟ้า รายล้อม ด้วยหอคอยยอดกลมตั้งขนาบตรงมุมทั้ง 4 ทิศ ความงดงามของหินอ่อนสีขาวยามสะท้องแสงแดด ทั้งในอรุณรุ่งและ สายัณห์จะค่อยๆเปลี่ยนสีผิวของสิ่ง ก่อสร้างนั้นเป็นสีม่วง สีแดงกุหลาบ และสีทอง ท่ามกลางละอองหมอกในตอนเช้า สิ่งก่อสร้างดูเหมือน วิมานในหมู่เมฆ ราวกับกลุ่มละอองหมอกก่อรูปขึ้นมาให้กลมกลืนประดุจ เป็นองค์ประกอบเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น ความตระหง่านทะมึนใต้แสงจันทร์ เต็มดวงของทัชมาฮาลดูสง่า เมื่อแสงที่สะท้อนจากตัวโดม เปล่งรัศมีดุจ ไอน้ำอีกทั้งยังสะท้อนแสงกระเพื่อมของน้ำจากสระรูปวงรีผู้มาเยือนเดินเลียบไปตามเส้นทางน้ำที่เรียงรายเป็นทิวแถวด้วยไม้สนไซเพร็ส ก็จะค่อยๆแลเห็นเนื้อผิว หินอ่อนที่ขาวผุดผ่องของตัวสุสานอันเป็นเจตนา ของผู้ก่อสร้าง มีลวดลายดอกจากงานฝีมือฝังมุก และลวดลายอาหรับผสม ผสานเข้ากับบทสวดจากคัมภีร์กุรอ่านจากรึกไว้เหนือประตูทางเข้าด้วยอักษรลายมือ เหนือขึ้นไปอีกเป็นโดมมหึมาสูงประมาณ 230 ฟุต เปล่งปลั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดด เหมือนดอกไม้ตูม ขนาดยักษ์ ถึงแม้ ชาร์ จาฮาล ปฎิบัติตามสัญญาได้ทั้ง 3 ข้อ แต่ในข้อสุดท้ายนั้น พระองค์ไม่อาจปฎิบัติได้ เพราะว่า ในปี 1658 พระราชโอรสพระองค์หนึ่งของพระองค์ นามว่า ออรังเซบ ไม่อาจเห็นการใช้จ่ายเงินอย่าง ฟุ่มเฟือย อันก่อให้เกิดความเดือนร้อนต่ออาณาประชาราษฎร์ จึงทรงก่อการปฎิวัติแล้วจับองค์ ขาร์ จาฮาล คุมขังในป้อมเมืองอัครา ชาร์ จาฮาล จากที่เคยมีความสุขจากทรพัย์ศฤงคารมากเหลือคณานับ สุดท้าย บั้นปลายพระชนม์ชีพของพระองค์ ต้องประทับในที่คุมขังเป็นเวลานานถึง 8 ปี และสิ้นพระชนม์ลงในปี 1666 พระองค์ทรงได้แต่เพียงเขย่งพระบาทเกาะช่องหน้าต่างลูกกรงเหล็ก ทอดพระเนตรไปยังฝั่งตรง ข้ามของแม่น้ำยมนา เฝ้ามองสุสานของพระนางอันเป็นที่รัก ในที่สุดเมื่อองค์ ชาร์ จาฮาล สิ้นพระชนม์ลง พระศพของพระองค์ได้ถูกนำไปฝังเคียงข้างพระนางมุมตัส ภายใต้โดมหินอ่อนอันเป็นอนุสรณ์แห่งความ รัก นามว่า "ทัส มาฮาล"
ทัชมาฮาล
ทัชมาฮาล เป็นอนุเสาวรีย์สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1631 เสร็จ ค.ศ.1648 รวมก่อสร้าง 17ปี ใช้เวลาตกแต่ง 5ปีรวมเวลาทั้งหมด 22 ปี ใช้งบประมาณ 30 ล้านรูปี คนงานก่อสร้าง20,000 คน สร้างขึ้นเพื่อบรรจุศพของพระนางมุมทัส มาฮาล ซึ่งเป็นพระมเหสีสุดที่รักของกษัตริย์ ซาร์เจฮาน แห่งราชวงศ์ดมกุล ทัชมาฮาล ทำด้วยหินอ่อนสีขาวภายในสุสานใต้โดมใหญ่เป็นที่ประดิษฐ์หีบศพของพระนางมุมทัสและกษัตริย์ซาร์ เจฮาน ไว้คู่กันโดยรอบมีเสาไฟทั้ง 4 ทิศ สุสานทัชมาฮาล สร้างติดกับฝั่งแม่น้ำยมนา ในเนื้อที่ 625 ไร่ อยู่ที่แคว้นอัคระ ประเทศอินเดีย